การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง


การอ่านบทร้อยกรอง

๑. ความหมายของบทร้อยกรอง

บทร้อยกรอง หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามบัญญัติแห่งฉันทลักษณ์โดยมีกำหนดข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความครึกครื้น และมีความไพเราะแตกต่างไปจากถ้อยคำธรรมดา ในการอ่านบทร้อยกรองนั้น เราเรียนกว่า “การอ่านทำนองเสนาะ”

๒. ความหมายของ “การอ่านทำนองเสนาะ”

การอ่านทำนองเสนาะคือ วิธีการอ่านออกเสียงอย่างไพเราะตามลีลาของบทร้อยกรองประเภท โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน

( พจนานุกกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ หน้า ๕๒๘ )

บางคนให้ความหมายว่า การอ่านทำนองเสนาะ คือ การอ่านตามทำนอง ( ทำนอง = ระบบเสียงสูงต่ำ ซึ่งมีจังหวะสั้นยาว ) เพื่อให้เกิดความเสนาะ ( เสนาะ , น่าฟัง , เพราะ , วังเวงใจ )



หลักการอ่านทำนองเสนาะ มีดังนี้

๑. ก่อนอ่านทำนองเสนาะให้แบ่งคำแบ่งวรรคให้ถูกต้องตามหลักคำประพันธ์เสียก่อนโดยต้องระวังในเรื่องความหมายของคำด้วย เพราะคำบางคำอ่านแยกคำกันไม่ได้ เช่น

“สร้อยคอขนมยุระ ยูงงาม”
(ขน-มยุระ , ขนม-ยุระ)

“หวนห่วงม่วงหมอนทอง อีกอกร่องรสโอชา
(อีก-อก-ร่อง , อี-กอ-กร่อง)

“ดุเหว่าจับเต่าร้างร้อง เหมือนจากห้องมาหยารัศมี”
(จับ-เต่า-ร้าง , จับ-เต่า )

“แรงเหมือนมดอดเหมือนกา กล้าเหมือนหญิง”
(เหมือน-มด , เหมือน-มด-อด )

๒. อ่านออกเสียงตามธรรมดาให้คล่องก่อน

๓. อ่านให้ชัดเจน โดยเฉพาะออกเสียง ร ล และคำควบกล้ำให้ถูกต้อง เช่น

“เกิดเป็นชายชาตรีอย่าขี้ขลาด บรรยากาศปลอดโปร่งโล่งสมอง
หยิบน้ำปลาตราสับปะรดให้ทดลอง ไหนเล่าน้องครีมนวดหน้าทาให้ที
เนื้อนั้นมีโปรตีนกินเข้าไว้ คนเคราะห์ร้ายคลุ้มคลั่งเรื่องหนังผี
ใช้น้ำคลองกรองเสียก่อนจึงจะดี เห็นมาลีคลี่บานหน้าบ้านเอย”

๔. อ่านให้เอื้อสัมผัส เรียกว่า คำแปรเสียง เพื่อให้เกิดเสีงสัมผัสที่ไพเราะ เช่น

พระสมุทรสุดลึกล้น คณนา
( อ่านว่า พระ-สะ-หมุด-สุด-ลึก-ล้น คน-นะ-นา )

ข้าขอเคารพอภิวาท ในพระบาทบพิตรอดิสร
( อ่านว่า ข้า-ขอ-เคา-รบ-อบ-พิ-วาด ใน-พระ-บาด-บอ-พิด-อะ-ดิด-สอน )

ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ
( อ่านว่า ขอ-สม-หวัง-ตั้ง-ประ-โหยด-โพด-ทิ-ยาน )

๕. ระวัง 3 ต อย่าให้ตกหล่น อย่าต่อเติม และอย่าตู่ตัว

๖. อ่านให้ถูกจังหวะ คำประพันธ์แต่ละประเภทมีจังหวะแตกต่างกัน ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนตามแบบแผนของคำประพันธ์นั้น ๆ เช่น มุทิงคนาฉันท์ ( 2-2-3 )

“ป๊ะโทน / ป๊ะโทน / ป๊ะโท่นโท่น บุรุษ / สิโอน / สะเอวไหว
อนงค์ / นำเคลื่อน / เขยื้อนไป สะบัด / สไบ / วิไลตา

๗. อ่านให้ถูกทำนองของคำประพันธ์นั้น ๆ ( รสทำนอง )

๘. ผู้อ่านต้องใส่อารมณ์ตามรสความของบทประพันธ์นั้น ๆ รสรัก โศก ตื่นเต้น ขบขัน โกรธ แล้วใส่น้ำเสียงให้สอดคล้องกับรสหรืออารมณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น

๙. อ่านให้เสียงดัง ( พอที่จะได้ยินกันทั่วถึง ) ไม่ใช่ตะโกน

๑๐. ถ้าเป็นฉันท์ ต้องอ่านให้ถูกต้องตามบังคับของครุ - ลหุ ของฉันท์นั้น ๆ

ลหุ คือ คำที่ผสมด้วยสระเสียงสั้น และไม่มีตัวสะกด เช่น เตะ บุ และ เถอะ ผัวะ ยกเว้น ก็ บ่อ นอกจากนี้ถือเป็นคำครุ ( คะ-รุ ) ทั้งหมด
ลหุ ให้เครื่องหมาย ( ุ ) แทนในการเขียน
ครุ ใช้เครื่องหมาย ( ั ) แทนในการเขียน


ตัวอย่าง : วสันตดิลกฉันท์ 14 มีครุ - ลหุ ดังนี้ 





อ้าเพศก็เพศนุชอนงค์ อรองค์ก็บอบบาง 
( อ่านว่า อ้า - เพด – ก้อ – เพด – นุ – ชะ – อะ – นง อะ – ระ – อง – ก้อ – บอบ – บาง ) 

ควรแต่ผดุงสิริสะอาง ศุภลักษณ์ประโลมใจ 
( อ่านว่า ควน – แต่ – ผะ – ดุง – สิ – หริ – สะ – อาง สุ – พะ – ลัก – ประ – โลม – ใจ ) 

๑๑. เวลาอ่านอย่าให้เสียงขาดเป็นช่วง ๆ ต้องให้เสียงติดต่อกันตลอด เช่น 
“วันจันทร์ มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ในก้านอรชร” เวลาจบให้ทอดเสียงช้า ๆ


 ประโยชน์ที่ได้รับจากการอ่านทำนองเสนาะ 

๑.ช่วยให้ผู้ฟังเข้าถึงรสและเห็นความงามของบทร้อยกรองที่อ่าน 
๒.ช่วยให้ผู้ฟังได้รับความไพเราะและเกิดความซาบซึ้ง ( อาการรู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง ) 
๓.ช่วยให้เกิดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลิน 
๔.ช่วยให้จดจำบทร้อยกรองได้รวดเร็วและแม่นยำ 
๕.ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เป็นคนอ่อนโยนและเยือกเย็น ( ประโยชน์โดยอ้อม ) 
๖.ช่วยสืบทอดวัฒนธรรม ในการอ่านทำนองเสนาะไว้เป็นมรดกต่อไป 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น