การอ่านวินิจสาร
ความหมาย หมายถึง เป็นกระบวนการทางจิตสำนึกเพื่อวิเคราะห์ หรือ ประเมินข้อมูล ในคำแถลง หรือ ข้อเสนอที่มีผู้แถลงหรืออ้างว่าเป็นความจริง การคิดวิเคราะห์เป็นรูปแบบของกระบวนการที่สะท้อนให้เห็นความหมายของคำแถลง ( statement ) และ การตรวจสอบหลักฐานที่ได้รับการไตร่ตรองด้วยเหตุและผล แล้วจึงทำการตัดสินคำแถลง หรือ ข้อเสนอที่ถูกอ้างว่าเป็นความจริงนั้น
ความสำคัญ ช่วยให้ผู้อ่าน เข้าใจเรื่องที่อ่านได้หลายด้านหลายมุม ทำให้เห็นคุณค่า และได้รับประโยชน์จากสิ่งที่อ่าน ช่วยฝึกการคิดไตร่ตรองหาเหตุผล ทำให้มีวิจารณญาณในการอ่าน
ขั้นตอนการวิเคราะห์และวินิจสาร๑. การวิเคราะห์สาร ๑ ) พิจารณารูปแบบของงานเขียน เพื่อให้รู้ว่าสารนั้นเป็นงานเขียนประเภทใด เช่น บทความ ข่าว โฆษณา
๒ ) แยกพิจารณาเนื้อเรื่องออกเป็นส่วน ๆ สรุปความให้ได้ว่าใคร ทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร
๓ ) แยกพิจารณาโครงสร้างว่า ประกอบด้วย เนื้อเรื่องเขียนเกี่ยวกับอะไร และ สรุปด้วยอะไร
๔) พิจารณาว่าผู้เขียนใช้กลวิธีการนำเสนออย่างไร และ พิจารณาการใช้ภาษาด้วยว่ามีการใช้ภาษาอย่างไร
๒. การวินิจสาร๑ ) พิจารณาเนื้อเรื่องว่า ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็น และ ข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นนั้นคืออะไร
๒ ) พิจารณาว่า ใจความสำคัญของเรื่องคืออะไร และใจความสำคัญรอง ๆ ลงไปคืออะไร
๓ ) พิจารณาว่าผู้เขียน เขียนด้วยเจตนาอย่างไร มีอารมณ์และรู้สึกอย่างไร ต้องการให้เกิดการตอบสนองอย่างไร หรือ เนื้อเรื่องมีข้อดีเด่นอย่างไร
๒ ) แยกพิจารณาเนื้อเรื่องออกเป็นส่วน ๆ สรุปความให้ได้ว่าใคร ทำอะไร เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร
๓ ) แยกพิจารณาโครงสร้างว่า ประกอบด้วย เนื้อเรื่องเขียนเกี่ยวกับอะไร และ สรุปด้วยอะไร
๔) พิจารณาว่าผู้เขียนใช้กลวิธีการนำเสนออย่างไร และ พิจารณาการใช้ภาษาด้วยว่ามีการใช้ภาษาอย่างไร
๒. การวินิจสาร๑ ) พิจารณาเนื้อเรื่องว่า ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็น และ ข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นนั้นคืออะไร
๒ ) พิจารณาว่า ใจความสำคัญของเรื่องคืออะไร และใจความสำคัญรอง ๆ ลงไปคืออะไร
๓ ) พิจารณาว่าผู้เขียน เขียนด้วยเจตนาอย่างไร มีอารมณ์และรู้สึกอย่างไร ต้องการให้เกิดการตอบสนองอย่างไร หรือ เนื้อเรื่องมีข้อดีเด่นอย่างไร
ตัวอย่างการวิเคราะห์วินิจสาร ( ๑ )
ศิลปะการใช้ชีวิต
สมัยเมื่อข้าพเจ้าสมัครเป็นผู้แทนราษฎร ออกเที่ยวหาเสียงในพระนครได้เข้าไปหาเสียงในบ้านคนจนแห่งหนึ่ง อยู่ที่แหล่งเสื่อมโทรมหลังวัดอินทร์ บางขุนพรม ซึ่งแหล่งเสื่อมโทรมนี้ เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย มีชีวิตอยู่เหนือน้ำครำกรุงเทพฯ เพียงฟุตกว่า ๆ เท่านั้น นาน ๆ จะมีหมาวัดพลัดเข้ามาอยู่ด้วยที่ใต้ถุนบ้าน เมื่อข้าพเจ้าไปถึงครอบครัวนี้กำลังจะเริ่มลงมือรับประทานอาหารเย็น พ่อบ้านกลับจากงานมีพวงปลาทูตัวเล็ก ๆ ถือติดมือมา ๔- ๕ ตัว แต่เขาถือมันมาด้วยความภูมิใจเหมือนบ๋อยกำลังยกหมูหันมาเลี้ยงคนในเหลา ปลาทู ๔-๕ ตัวนั้น มันเล็กเสียจริง ๆ ดูเหมือนปลาทูอดอาหาร ซึ่งถ้าข้าพเจ้าเป็นแมวก็แทบจะไม่อยากขอรับประทาน ครอบครัวนั้นมีลูกหลายคน ยังเล็ก ๆ ทั้งนั้น นึกอยู่ในใจว่าจะพอกินได้อย่างไร ปลาทู ๔-๕ ตัวนี้ แต่ถึงกระนั้นแม่บ้านก็รับของขวัญจากตลาดด้วยกิริยาอาการยินดีเหมือนนางสาวไทยรับมงกุฎแล้วเธอได้นำปลาทูไปล้างอย่างสะอาด ระหว่างนั้นลูกหญิงคนโตนำหม้อข้าวไปตั้งไฟ เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านเขา พ่อบ้านซึ่งรู้จักว่าข้าพเจ้าเป็นใคร ได้ให้การต้อนรับอย่างมีเกียรติยิ่งเขาเอาผ้ามาเช็ดถูกระดานก่อนเชิญข้าพเจ้านั่ง ทั้ง ๆ ที่กระดานตรงนั้นและกระดานที่อื่นในบ้านก็สะอาดหมดจดอยู่แล้ว
เมื่อข้าพเจ้านั่งลงตามคำเชิญแล้ว พ่อบ้านลุกขึ้นไปหยิบถ้วยแก้วน้ำ ซึ่งเก็บใส่ไว้ในตู้กระจกไม่มีฝุ่นจับ แล้วยังเอาผ้าสะอาดมาเช็ดก่อนที่จะตักน้ำจากตุ่มน้ำฝนมาให้ข้าพเจ้ารับประทาน เขานำถ้วยแก้วใส่น้ำล้ำค่าจากสรวงสวรรค์นั้นมาวางต่อหน้าข้าพเจ้า เหมือนกับจะวางแก้วเหล้าชาโตมาโก ปี ค.ศ. ๑๙๒๘ ให้แขกสำคัญดื่ม ในบ้านเหนือน้ำครำ ๑ ฟุตเศษนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างสะอาดไปหมด คนในบ้านก็สะอาดทุกคนทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ก่อนนั่งลงรับประทานข้าวกับปลาทู แม่ยังบังคับให้ลูก ๆ ไปล้างมือเสียก่อน มองลงไปดูข้างล่างที่น้ำครำทำให้รู้สึกว่าชีวิตในบ้านน้อย ๆ นั้นเหมือนกับดอกบัวบานแล้วพ้นจากตม ระหว่างนั้นปลาทูซึ่งกำลังทอดอยู่ในกระทะก็เริ่มส่งกลิ่นท้าทายความหิว ลูกที่โตแล้วเข้าห้องไปเอาเสื่อจันทบูรณ์ออกมาลาด แล้วนำส้อมกับช้อนสังกะสีมาวางไว้รอบเสื่อ ครบจำนวนสมาชิกในครอบครัว ทำท่าทางไม่ผิดกับการเตรียมตั้งโต๊ะอาหารรับเจ้าฝรั่ง
วันนั้นข้าพเจ้าไปเดินหาเสียงมาทั้งวัน ยังไม่ได้รับประทานอาหารเย็นเลย เมื่อปลาทูในกระทะกำลังส่งกลิ่น แล้วไปเห็นชีวิตในครอบครัวเหนือน้ำครำอันหมดจดสะอาดสะอ้านเช่นนั้นเข้า จึงทำให้เกิดหิวข้าว ไม่เคยเลยตั้งแต่เกิดมาในชีวิตที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกหิวข้าวอยากกินอะไรเท่ากับข้าวร้อน ๆ กับปลาทูทอด ครั้นข้าวสุกปลาทูทอดเสร็จ ยกมาตั้งกลางวง แล้วพ่อบ้านก็ถามข้าพเจ้าด้วยความเกรงใจว่า ค่ำแล้ว ท่านจะรับประทานเสียที่นี่ดีหรือไม่ แล้วออกตัวในเวลาเดียวกันว่า อาหารที่บ้านนี้รับประทานกันง่าย ๆ อย่างนี้ ในท่ามกลางความสุขของครอบครัว ความสะอาดสะอ้าน และกลิ่นข้าวร้อนผสมกับปลาทูทอด ความหิวเกือบจะทำให้ข้าพเจ้ารับเชิญ แต่ครั้นมองไปดูปลาทู ๔-๕ ตัว กับเด็ก ๆ ในบ้านมีจำนวนมากกว่าเข้าแล้ว จึงได้แต่ตอบขอบใจเจ้าบ้านว่า ข้าพเจ้ารับประทานมาแล้ว ขอให้เขาลงมือกันไปเถิดข้าพเจ้าจะนั่งคุยด้วย จึงได้เห็นปรากฏการณ์ที่โต๊ะอาหารของเขาอย่างน่าประหลาด
ปลาทูเล็ก ๆ ๔ – ๕ ตัวนั้น แม่บ้านแบ่งแจกจ่ายใส่จานลูกได้ทั่วคน ปลาที่แม่แบ่งให้ลูกกินคือส่วนที่เป็นเนื้อปลา พ่อแม่รับประทานแต่หัวปลากับเศษของปลา เด็กทุกคนรับประทานอาหารอย่างโอชะ นั่งพับเพียบรับประทานด้วยกิริยาอันแช่มช้อย เมื่อแบ่งกับข้าวกันกินดังกล่าวนี้แล้ว ส่วนที่เหลือยังติดชามกับข้าว แม้แมวตัวไหนอยากกินก็ไม่มีเหลือจะให้กิน ทุกคนในครอบครัวนั้นกินจนอิ่ม เพราะข้าวมีไม่จำกัด ข้าพเจ้ากินข้าวดี ๆ มาทั่วโลก ไม่เคยเห็นใครกินข้าวเอร็ดอร่อยเท่าครอบครัวเหนือน้ำครำนี้ กินอิ่มแล้วน้องเล็กยังได้เรอออกมาด้วยความพอใจ ถูกแม่ดุเอาว่า ทำอย่างนั้นไม่เป็นสมบัติผู้ดี ข้าพเจ้าจากครอบครัวนี้มาโดยอาการท้องหิวใจอิ่ม ได้ความคิดมาด้วยว่า กรุงศรีอยุธยาหาได้อยู่เพราะคนดีไม่ แต่อยู่มาได้เพราะอาศัยข้าวกับปลาทู แต่บทเรียนก็ได้รับมาในเวลาเดียวกันว่า ที่บ้านเล็ก ๆ เหนือน้ำครำนี้ เขาใช้ศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างถึงขนาดประเสริฐยิ่ง
วันนั้นข้าพเจ้าไปเดินหาเสียงมาทั้งวัน ยังไม่ได้รับประทานอาหารเย็นเลย เมื่อปลาทูในกระทะกำลังส่งกลิ่น แล้วไปเห็นชีวิตในครอบครัวเหนือน้ำครำอันหมดจดสะอาดสะอ้านเช่นนั้นเข้า จึงทำให้เกิดหิวข้าว ไม่เคยเลยตั้งแต่เกิดมาในชีวิตที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกหิวข้าวอยากกินอะไรเท่ากับข้าวร้อน ๆ กับปลาทูทอด ครั้นข้าวสุกปลาทูทอดเสร็จ ยกมาตั้งกลางวง แล้วพ่อบ้านก็ถามข้าพเจ้าด้วยความเกรงใจว่า ค่ำแล้ว ท่านจะรับประทานเสียที่นี่ดีหรือไม่ แล้วออกตัวในเวลาเดียวกันว่า อาหารที่บ้านนี้รับประทานกันง่าย ๆ อย่างนี้ ในท่ามกลางความสุขของครอบครัว ความสะอาดสะอ้าน และกลิ่นข้าวร้อนผสมกับปลาทูทอด ความหิวเกือบจะทำให้ข้าพเจ้ารับเชิญ แต่ครั้นมองไปดูปลาทู ๔-๕ ตัว กับเด็ก ๆ ในบ้านมีจำนวนมากกว่าเข้าแล้ว จึงได้แต่ตอบขอบใจเจ้าบ้านว่า ข้าพเจ้ารับประทานมาแล้ว ขอให้เขาลงมือกันไปเถิดข้าพเจ้าจะนั่งคุยด้วย จึงได้เห็นปรากฏการณ์ที่โต๊ะอาหารของเขาอย่างน่าประหลาด
ปลาทูเล็ก ๆ ๔ – ๕ ตัวนั้น แม่บ้านแบ่งแจกจ่ายใส่จานลูกได้ทั่วคน ปลาที่แม่แบ่งให้ลูกกินคือส่วนที่เป็นเนื้อปลา พ่อแม่รับประทานแต่หัวปลากับเศษของปลา เด็กทุกคนรับประทานอาหารอย่างโอชะ นั่งพับเพียบรับประทานด้วยกิริยาอันแช่มช้อย เมื่อแบ่งกับข้าวกันกินดังกล่าวนี้แล้ว ส่วนที่เหลือยังติดชามกับข้าว แม้แมวตัวไหนอยากกินก็ไม่มีเหลือจะให้กิน ทุกคนในครอบครัวนั้นกินจนอิ่ม เพราะข้าวมีไม่จำกัด ข้าพเจ้ากินข้าวดี ๆ มาทั่วโลก ไม่เคยเห็นใครกินข้าวเอร็ดอร่อยเท่าครอบครัวเหนือน้ำครำนี้ กินอิ่มแล้วน้องเล็กยังได้เรอออกมาด้วยความพอใจ ถูกแม่ดุเอาว่า ทำอย่างนั้นไม่เป็นสมบัติผู้ดี ข้าพเจ้าจากครอบครัวนี้มาโดยอาการท้องหิวใจอิ่ม ได้ความคิดมาด้วยว่า กรุงศรีอยุธยาหาได้อยู่เพราะคนดีไม่ แต่อยู่มาได้เพราะอาศัยข้าวกับปลาทู แต่บทเรียนก็ได้รับมาในเวลาเดียวกันว่า ที่บ้านเล็ก ๆ เหนือน้ำครำนี้ เขาใช้ศิลปะในการดำรงชีวิตอย่างถึงขนาดประเสริฐยิ่ง
รูปแบบ เรื่องศิลปะการใช้ชีวิตเป็นร้อยแก้ว มีลักษณะเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์จริงของ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช สมัยเมื่อออกหาเสียงเลือกตั้ง
เนื้อเรื่อง กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ออกไปหาเสียงเลือกตั้งในหมู่บ้านคนจนแห่งหนึ่ง ได้พบกับครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังลง
เนื้อเรื่อง กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช ออกไปหาเสียงเลือกตั้งในหมู่บ้านคนจนแห่งหนึ่ง ได้พบกับครอบครัวหนึ่งซึ่งกำลังลง
มือรับประทานอาหารเย็น ผู้เขียนเกิดความรู้สึกประทับใจในการรู้จักใช้
ชีวิต เช่น รักความสะอาด รู้จักต้อนรับแขกตามสภาพ โดยเฉพาะอาหาร
มื้อนั้นเป็นปลาทูตัวเล็ก ๔ – ๕ ตัว แต่ทุกคนก็รับประทานด้วยความเอร็ดอร่อยและเป็นระเบียบจนอิ่มโดยทั่วถ้วน ทำให้ผู้เขียนอดชื่นชมในความเป็นอยู่ของครอบครัวเล็ก ๆ นี้ไม่ได้ จึงเขียนเล่าเรื่องขึ้น
การนำเสนอ ใช้กลวิธีเล่าเรื่องอย่างง่าย ๆ ตรงไปตรงมา คล้าย ๆ กำลังพูดคุยให้ผู้อ่านฟัง โดยเล่าเรื่องเป็นลำดับ ๆ ไป และแทรกความรู้สึกชื่นชมในน้ำเสียงของผู้เขียนในตอนท้าย
การใช้ภาษา ใช้ภาษาพูดเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่ให้ภาพพจน์ และความรู้สึกได้ชัดเจน เช่น“ ปลาทูตัวเล็ก ๔ – ๖ ตัวนั้น แม่บ้านแบ่งแจกจ่ายใส่จานให้ลูก ๆ ได้ทั่วคน ปลาที่แม่แบ่งให้ลูกกิน คือส่วนที่เป็นเนื้อปลา พ่อกับแม่รับประทานแต่หัวปลากับเศษของปลา เด็กทุกคนรับประทานอาหารอย่างโอชะ นั่งพับเพียบ…”
การวินิจสาร อาจพิจารณาได้ว่าผู้เขียนมีเจตนายกย่อง ชมเชย ครอบครัวเล็ก ๆ แต่มี ความเป็นระเบียบและมีความสุข ด้วยความรู้สึกที่ประทับใจอย่างแท้จริง
การนำเสนอ ใช้กลวิธีเล่าเรื่องอย่างง่าย ๆ ตรงไปตรงมา คล้าย ๆ กำลังพูดคุยให้ผู้อ่านฟัง โดยเล่าเรื่องเป็นลำดับ ๆ ไป และแทรกความรู้สึกชื่นชมในน้ำเสียงของผู้เขียนในตอนท้าย
การใช้ภาษา ใช้ภาษาพูดเรียบ ๆ ง่าย ๆ แต่ให้ภาพพจน์ และความรู้สึกได้ชัดเจน เช่น“ ปลาทูตัวเล็ก ๔ – ๖ ตัวนั้น แม่บ้านแบ่งแจกจ่ายใส่จานให้ลูก ๆ ได้ทั่วคน ปลาที่แม่แบ่งให้ลูกกิน คือส่วนที่เป็นเนื้อปลา พ่อกับแม่รับประทานแต่หัวปลากับเศษของปลา เด็กทุกคนรับประทานอาหารอย่างโอชะ นั่งพับเพียบ…”
การวินิจสาร อาจพิจารณาได้ว่าผู้เขียนมีเจตนายกย่อง ชมเชย ครอบครัวเล็ก ๆ แต่มี ความเป็นระเบียบและมีความสุข ด้วยความรู้สึกที่ประทับใจอย่างแท้จริง
หลักปฏิบัติในการอ่านวินิจสาร การคิดวิเคราะห์ และ ตีความ
๑. พิจารณาว่าส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง เรื่องใดเป็นข้อคิดเห็น ตลอดจนความรู้สึกและ อารมณ์ของผู้เขียน ซึ่งอาจแสดงออกโดยตรง หรือแสดงออกโดยผ่านพฤติกรรมของตัวละคร
๒. วิเคราะห์และรวบรวมปฏิกิริยาของผู้อ่านที่มีต่องานเขียน เป็นการที่ผู้อ่านวิเคราะห์ตัวเอง
๓. การพิจารณาความคิดแทรก หมายถึง การพิจารณาข้อความรู้ความคิดที่ผู้เขียนมีไว้ในใจแต่ไม่ได้เขียนไว้ในงานเขียนนั้นตรง ๆในการอ่านวินิจสาร การคิดวิเคราะห์ และ ตีความ ผู้อ่านจะต้องทำอย่างละเอียดลึกซึ้ง หากผู้เขียนใช้ความหมายโดยนัย หรือ ความหมายแฝง ซึ่งเป็นความหมายที่ชักนำความคิดให้เกี่ยวโยงไปถึงสิ่งอื่น ซึ่งการใช้ภาษาในลักษณะนี้จะมุ่งที่ศิลปะการใช้ภาษามากกว่าศาสตร์ จะเป็นภาษาที่มีความไพเราะ และ มีความหมายพิเศษออกไป เป็นความหมายที่ซับซ้อนตีความได้หลายอย่าง บางครั้งคำเพียงคำเดียวอาจมีความหมายได้ทั้งขัดแย้ง และ กลมกลืน ดังนั้นในการตีความผู้อ่านจึงต้องอาศัยบริบท น้ำเสียงของผู้เขียน ทัศนคติของผู้เขียน และบางครั้งต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันเป็นเครื่องช่วยตัดสิน
๒. วิเคราะห์และรวบรวมปฏิกิริยาของผู้อ่านที่มีต่องานเขียน เป็นการที่ผู้อ่านวิเคราะห์ตัวเอง
๓. การพิจารณาความคิดแทรก หมายถึง การพิจารณาข้อความรู้ความคิดที่ผู้เขียนมีไว้ในใจแต่ไม่ได้เขียนไว้ในงานเขียนนั้นตรง ๆในการอ่านวินิจสาร การคิดวิเคราะห์ และ ตีความ ผู้อ่านจะต้องทำอย่างละเอียดลึกซึ้ง หากผู้เขียนใช้ความหมายโดยนัย หรือ ความหมายแฝง ซึ่งเป็นความหมายที่ชักนำความคิดให้เกี่ยวโยงไปถึงสิ่งอื่น ซึ่งการใช้ภาษาในลักษณะนี้จะมุ่งที่ศิลปะการใช้ภาษามากกว่าศาสตร์ จะเป็นภาษาที่มีความไพเราะ และ มีความหมายพิเศษออกไป เป็นความหมายที่ซับซ้อนตีความได้หลายอย่าง บางครั้งคำเพียงคำเดียวอาจมีความหมายได้ทั้งขัดแย้ง และ กลมกลืน ดังนั้นในการตีความผู้อ่านจึงต้องอาศัยบริบท น้ำเสียงของผู้เขียน ทัศนคติของผู้เขียน และบางครั้งต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันเป็นเครื่องช่วยตัดสิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น